- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
“แพลตฟอร์ม Dragonfly” ต้นแบบนวัตกรรมดิจิทัล ผลงานนักวิจัยไทยเพื่อเกษตรกรไทย ที่มีส่วนในการยกระดับเศรษฐกิจฐานรากด้วยเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ ซึ่งในวันนี้ แพลตฟอร์มอัจฉริยะนี้ได้รับการอัปเดตสู่ Dragonfly เวอร์ชั่น 2 ที่ตลอดเวลา 2 ปีที่ผ่านมาได้มีการปรับปรุงและพัฒนา Dragonfly ให้มีรูปแบบที่น่าสนใจ ทันสมัย และง่ายต่อการใช้งาน นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาเครื่องมือใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการใช้งานของเกษตรกรมากขึ้นอีกด้วย
โดยชื่อของ “แพลตฟอร์ม Dragonfly” ได้รับการเปิดตัวโดย สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ หรือ GISTDA ที่เปิดให้บริการต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือนกันยายน พ.ศ. 2566 นำเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ มาส่งถึงมือผู้ใช้งานในระดับบุคคล โดยเฉพาะ “เกษตรกรไทย” ที่ต้องก้าวผ่านจากการประกอบอาชีพด้วยวิธีการดั้งเดิมไปสู่การเป็น “เกษตรกรยุคใหม่” หรือ “Smart Farmer”
Dragonfly เป็นแพลตฟอร์มดิจิทัลทางการเกษตรเชิงพื้นที่ระดับรายแปลง ที่ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยให้ “เกษตรกร” สามารถติดตาม เฝ้าระวัง คาดการณ์ และมีข้อมูลที่อัปเดตตลอดเวลาเพื่อช่วยในการตัดสินใจที่เท่าทันต่อสถานการณ์ และเป็นประโยชน์ในการวางแผนบริหารจัดการแปลงเพาะปลูกของตัวเองได้อย่างครบวงจร ตั้งแต่เริ่มปลูกจนถึงการขายผลผลิต ด้วยเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศที่แม่นยำและทันสมัย
จากเวอร์ชั่นแรก สู่การเปิดตัว เวอร์ชั่น 2 ปรับโฉม เพิ่มฟีเจอร์ให้ตอบโจทย์เกษตรกรไทยมากขึ้น
ดร.สุกิจ สกาวแสง นักภูมิสารสนเทศชำนาญการ GISTDA เล่าถึงที่มาของแพลตฟอร์ม Dragonfly ว่า
“แนวคิดของการคิดค้นและออกแบบ แพลตฟอร์ม Dragonfly เกิดจากนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงข้อมูลที่มีประโยชน์ต่อการเพาะปลูกได้ GISTDA ซึ่งมีพันธกิจหลักเรื่องภาพถ่ายดาวเทียม จึงเกิดแนวคิดพัฒนาแอปพลิเคชันที่สามารถป้อนข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการเพาะปลูก โดยเน้นข้อมูลที่สกัดได้จากภาพถ่ายดาวเทียมเป็นหลัก แต่ก็ไม่ทิ้งข้อมูลสำคัญจากหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้กับเกษตรกรสามารถดูแลผลผลิตได้ด้วยตัวเองตลอดฤดูกาลการเพาะปลูก”
“ในตัวแอปมีเครื่องมือต่างๆ มากมาย ที่ได้มาจากการสำรวจความต้องการของผู้ใช้งาน ซึ่งในจุดเริ่มต้นแรกๆ มาจากการลงพื้นที่พูดคุยกับกลุ่มเกษตรที่ทำนาข้าวในพื้นที่ภาคกลาง และนำความต้องการเหล่านั้นมาพัฒนาเป็นเครื่องมือ ใน Dragonfly”
“ปัจจุบันมีการพัฒนา Dragonfly อย่างต่อเนื่อง ซึ่งนอกจากจะปรับโฉมให้ง่ายต่อการใช้งานแล้วยังเพิ่มฟีเจอร์ที่มาจากความต้องการของเกษตรกร จาก 7 ฟีเจอร์ ในเวอร์ชั่นแรก เป็น 11 ฟีเจอร์ ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นที่ 2 และอยู่ระหว่างการพัฒนาเข้าสู่เวอร์ชั่น 3”
รีวิว 11 ฟีเจอร์ ในแพลตฟอร์ม Dragonfly เวอร์ชั่น 2 ยกระดับเกษตรกรไทย สู่ Smart Farmer ในทุกมิติ
สำหรับความน่าสนใจของ 11 ฟีเจอร์ ใน Dragonfly เวอร์ชั่น 2 ประกอบไปด้วย
ฟีเจอร์แรก การติดตามความสมบูรณ์ของพืช ที่ใช้ดาวเทียมถ่ายภาพแปลงของเกษตรกรในทุก ๆ 5 วัน อาศัยหลักการของพืชที่มีลักษณะปกติและไม่ปกติ จะตอบสนองคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในช่วงคลื่นแสงสีแดงและช่วงคลื่นอินฟราเรดใกล้แตกต่างกัน นำหลักการนี้มาสร้างแบบจำลอง สร้างข้อมูลค่าต่างๆ ให้เกษตรกรเห็นความสมบูรณ์ของพืชในแปลงของตนเอง
ฟีเจอร์ 2 ข้อมูลสภาพอากาศ แสดงข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยา ทั้งเรื่องอุณหภูมิ ปริมาณน้ำฝน ข้อมูลลม ทิศทางลม ความชื้นสัมพัทธ์ สามารถดูได้เป็นรายชั่วโมงและล่วงหน้าได้ 7 วัน
ฟีเจอร์ 3 ข้อมูลสภาพแปลง แค่เกษตรกรรู้ตำแหน่ง ก็สามารถรู้ได้ว่าสภาพดินในแปลงเป็นอย่างไร หรือมีความอุดมสมบูรณ์แค่ไหน โดยอ้างอิงจากแผนที่ชุดดินของกรมพัฒนาที่ดิน ในฟีเจอร์นี้ยังมีเครื่องมือที่อาศัยการตรวจวัดคลื่นอินฟราเรดความร้อนจากดาวเทียมแสดงออกมาเป็นข้อมูลอุณหภูมิพื้นผิว ณ บริเวณแปลง ซึ่งจะมีประโยชน์ต่อการวางแผนการใช้น้ำเพื่อการเติบโตของพืช
ฟีเจอร์ 4 การแนะนำการใช้ปุ๋ยไนโตรเจนในนาข้าว ซึ่งเกษตรกรต้องกรอกวันที่จะใส่ปุ๋ยและจำนวนผลผลิตที่ต้องการระบบจะค้นภาพถ่ายดาวเทียมของแปลงเพาะปลูกก่อนที่จะใส่ปุ๋ย และคำนวณออกมาว่าหากต้องการผลผลิตที่ระบุจะต้องใส่ปุ๋ยกี่กิโลกรัมต่อไร่
มิ่งขวัญ กันธา นักภูมิสารสนเทศชำนาญการพิเศษ GISTDA ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า “ปัจจุบันเกษตรกรส่วนใหญ่มีอายุเฉลี่ย 55-65 ปี แม้จะเป็นเกษตรกรรุ่นเก่า แต่ก็มีใจที่อยากจะปรับเปลี่ยนเป็นเกษตรกรยุคใหม่ โดยสามารถเข้าถึงการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ใช้อินเทอร์เน็ต ไลน์ ยูทูป หรือเฟซบุ๊คได้ แต่ด้วยแหล่งข้อมูลที่มีอยู่มากมาย กระจัดกระจาย แอป Dragonfly จึงรวบรวมข้อมูลที่จำเป็นต่อการเพาะปลูก การเจริญเติบโต เริ่มตั้งแต่การพรวนดิน เพาะปลูกจนถึงการจำหน่ายผลผลิต”
“เราพยายามจะดูแลตรงนี้ อยากดูเรื่องลมฟ้าอากาศมาดูในแอปเราได้ การตรวจดิน เกษตรกรไม่ได้ตรวจเพราะต้องเสียค่าใช้จ่าย หมอดินอาสาก็ไม่สามารถตรวจดินได้ทุกแปลงในชุมชนของตำบลตัวเองได้ แต่ Dragonfly มีพันธมิตร เช่น การนำข้อมูลชุดดินจากกรมพัฒนาที่ดิน อาจจะเป็นข้อมูลภาพกว้าง แต่ก็ทำให้รู้ว่าดินในแต่ละแปลงเป็นดินแบบใด สามารถปรับปรุงดินให้เหมาะกับการปลูกพืชชนิดต่างๆ ได้”
ฟีเจอร์ 5 อัปเดตข้อมูลภัยพิบัติ โดยนำข้อมูลจากด้านภัยพิบัติ ของ GISTDA ที่กระทบต่อการทำการเกษตรมานำเสนอ เช่น ในฤดูฝน สามารถดูได้ว่ารอบ ๆ แปลงมีพื้นที่น้ำท่วมหรือไม่
ฟีเจอร์ 6 การคาดการณ์ผลผลิต ดาวเทียมสามารถถ่ายภาพแปลงที่มีต้นอ้อย หรือต้นข้าว ในระยะที่มีพัฒนาการสูงสุดพร้อมที่จะให้ผลผลิต ซึ่งสามารถสกัดภาพดาวเทียมที่ถ่ายในช่วงนั้นๆ นำมาเข้าสมการแปรลผลออกมาว่า ได้ผลผลิตเท่าไหร่ ทำให้รู้ล่วงหน้าได้ 1-2 เดือน ก่อนการเก็บเกี่ยว สามารถนำข้อมูลไปต่อยอด เช่น ด้านการตลาด โดยปัจจุบันฟีเจอร์นี้ยังใช้คาดการณ์เฉพาะอ้อยกับข้าวเท่านั้น
ฟีเจอร์ 7 คะแนนแปลงเกษตรกร เป็นเครื่องมือสำหรับสนับสนุนเกษตรกรที่สนใจขอสินเชื่อจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งในแอปจะพิจารณาการให้คะแนนใน 3 มิติ คือ สิ่งแวดล้อม ความเสี่ยงภัยพิบัติ และผลผลิต
ฟีเจอร์ 8 ราคาผลผลิต เป็นการดึงข้อมูลราคาสินค้าเกษตรตรงจากกระทรวงพาณิชย์ ที่มีการอัพเดตข้อมูลตลอดเวลา
ฟีเจอร์ 9 แหล่งน้ำขนาดเล็ก เกษตรกรผู้ใช้งานแอปฯ จะทราบว่า รอบๆ แปลงเพาะปลูก มีแหล่งน้ำอยู่ตรงไหนบ้างที่สามารถใช้ในการบริหารจัดการน้ำในแปลงเพาะปลูก
ฟีเจอร์ 10 สมุดบันทึก เพื่อให้เกษตรกรใช้บันทึกข้อมูลต่างๆ เช่น จำนวนผลผลิตและค่าใช้จ่ายต่างๆ ในแต่ละรอบการปลูก ข้อมูลเหล่านี้สามารถนำมาสรุปเป็นกราฟและสถิติต่างๆ ซึ่งอนาคตอาจนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอมาวิเคราะห์เพื่อช่วยในการบริหารจัดการ
ฟีเจอร์ 11 โรคและแมลง ไม่ได้เป็นการคาดการณ์การระบาด แต่เป็นการเฝ้าระวังในลักษณะของจิตอาสาที่จะปักหมุดแจ้งเตือนพื้นที่พบโรคในชุมชน การใช้งานฟีเจอร์นี้จึงเน้นไปที่ชุมชนที่มีความพร้อมและสนใจที่จะใช้เทคโนโลยีเป็นหลัก
“ข้อมูลที่สกัดได้จากภาพถ่ายดาวเทียม” เทคโนโลยีล้ำสมัย ที่ทำให้ Dragonfly เวอร์ชั่น 2 ทรงประสิทธิภาพต่างจากแอปพลิเคชั่นอื่น
อย่างไรก็ดี ปัจจุบันแม้จะมีแอปพลิเคชันด้านการเกษตรเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก แต่ Dragonfly ก็มีจุดเด่นอยู่ที่ “ข้อมูลที่สกัดได้จากภาพถ่ายดาวเทียม” ซึ่งเป็นเทคโนโลยีอวกาศฯที่มีความทันสมัยและแม่นยำสูง
“ด้วยศักยภาพของดาวเทียมที่โคจรรอบโลก ทำให้ไม่ว่าเกษตรกรไทยจะอยู่ที่ไหนของประเทศไทยก็สามารถจะมีข้อมูลนี้ได้ โดยดาวเทียมสามารถถ่ายภาพได้ทุกพื้นที่ บนภูเขา ดอยสูง ใต้สุด หรือติดขอบชายแดน ก็สามารถได้ข้อมูลจากดาวเทียม และไม่ได้แค่ครั้งเดียว แต่ดาวเทียมจะโคจรมาจุดเดิมทุกสัปดาห์ ทุกเดือน ทำให้มีข้อมูลใหม่ๆ ตลอด ทำให้เห็นพัฒนาการติดตามการเติบโตของพืชหรือสังเกตความผิดปกติได้ ประกอบกับ GISTDA มีเครือข่ายพันธมิตรดาวเทียมทั่วโลกทำให้ช่วยเพิ่มโอกาส ในการดึงข้อมูลที่เกษตรกรต้องการจากดาวเทียมต่างๆ ได้มากขึ้น ซึ่งนั่นก็คือจุดแข็งของ GISTDA”
“ปัจจุบัน ข้อมูล ณ เดือนมีนาคม 2568 มีผู้ลงทะเบียนและใช้งานแอป Dragonfly ต่อเนื่อง กว่า 9,000 ราย และมี 2 ชุมชนต้นแบบ คือ ศูนย์เรียนรู้ลดโลกร้อนนาแปลงใหญ่ เกษตรสมัยใหม่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมเดิมบาง อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี และ ศูนย์ข้าวชุมชนบ้านสวนแตง จ.สุพรรณบุรี”
และจาก Dragonfly เวอร์ชั่น 2 ที่พัฒนาแล้วเสร็จ ทั้งการเพิ่มฟีเจอร์ ปรับปรุงความถูกต้องของข้อมูลและปรับโฉมให้สวยงามและใช้งานง่ายขึ้น GISTDA เปิดเผยว่าได้มีการพัฒนาต่อยอดสู่เวอร์ชั่น 3 ในปี 2568 นี้ และจะมีการพัฒนาเครื่องมือใหม่ๆ เพิ่มเติมที่ตอบโจทย์ความต้องการใช้งานของเกษตรกรอย่างต่อเนื่อง อย่างเช่น การนำภาพถ่ายดาวเทียมมาดูเรื่องของความต้องการน้ำของพืชในแปลง รวมถึงมีแผนสร้างการรับรู้และส่งเสริมการใช้งานแอปพลิเคชันให้มากขึ้น ซึ่งตั้งเป้าเพิ่มชุมชนต้นแบบอีก 2 ชุมชน
ทั้งนี้แม้ยอดผู้ใช้งานแอป Dragonfly ในปัจจุบันจะยังไม่สูงมาก แต่จากประโยชน์ในการใช้งานที่ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างโอกาสในการเข้าถึงข้อมูลภาพถ่ายจากดาวเทียม และสนับสนุนให้เกษตรกรไทยสามารถเปลี่ยนผ่านจากการทำเกษตรแบบดั้งเดิมสู่การทำเกษตรสมัยใหม่ที่ลดต้นทุนและเพิ่มศักยภาพในการผลิต ผู้พัฒนาคาดหวังว่าอนาคตแอปนี้จะมีผู้ใช้งานทั่วประเทศ ใช้ได้กับทุกพืช และเป็นอีกหนึ่งแอปที่จำเป็นในชีวิตประจำวันของเกษตรกรไทย
แหล่งข้อมูล
https://www.salika.co/2025/05/15/dragonfly-version-2-space-technology-gistda/
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ