GIS ชี้ชะตาภัยพิบัติไทย: ไม่ใช่แค่เทคโนโลยี แต่หัวใจอยู่ที่ “ข้อมูล” ที่ไร้รอยต่อ
โลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและภัยพิบัติที่รุนแรงขึ้น ทำให้ประเทศไทยไม่อาจรับมือด้วยการคาดเดาได้อีกต่อไป บนเวทีเสวนา KBTG Techtopia 2025 ได้มีการย้ำเตือนว่า อนาคตของการจัดการภัยพิบัติที่มีประสิทธิภาพไม่ได้ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยเพียงอย่างเดียว แต่หัวใจสำคัญคือ “การบูรณาการข้อมูล” จากทุกภาคส่วน
ความท้าทายหลัก: ไม่ใช่ขาดเทคโนโลยี แต่คือข้อมูลที่กระจัดกระจาย
ดร.ธนพร ฐิติสวัสดิ์ ประธานบริษัท จีไอเอส จำกัด ชี้ให้เห็นว่า ปัญหาใหญ่ของไทยไม่ใช่การไม่มีเทคโนโลยีระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) แต่คือ การเชื่อมโยงข้อมูล ที่ยังคงกระจัดกระจายอยู่ตามหน่วยงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ นักวิชาการ หรือภาคประชาสังคม ซึ่งส่งผลให้การตัดสินใจและการรับมือสถานการณ์ไม่เป็นเอกภาพและขาดประสิทธิภาพ
GIS ในปัจจุบันไม่ใช่แค่เครื่องมือสร้างแผนที่ แต่เป็นเทคโนโลยีที่สามารถ วิเคราะห์และคาดการณ์สถานการณ์ล่วงหน้า ได้อย่างแม่นยำ เพื่อให้ประเทศสามารถตัดสินใจได้ว่าจะ “รู้ สู้ อยู่ หรือหนี” วิกฤติต่างๆ ได้อย่างมีข้อมูลสนับสนุน
ตัวอย่างโซลูชันที่เกิดขึ้นจริง: จากทฤษฎีสู่การปฏิบัติ
บริษัท จีไอเอส จำกัด ได้พิสูจน์แล้วว่าแนวคิดนี้สามารถนำมาสร้างเป็นโซลูชันที่จับต้องได้ เพื่อแก้ปัญหาเมืองและสิ่งแวดล้อมโดยตรง:
💧 Urban Hazard Studio: เครื่องมือที่พัฒนาร่วมกับ รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ เพื่อ จำลองและคาดการณ์สถานการณ์น้ำท่วม ในอนาคต ช่วยให้การวางผังเมืองและการเตรียมรับมือมีประสิทธิภาพมากขึ้น
💨 แอปพลิเคชัน “เตะฝุ่น”: พัฒนาร่วมกับสภาลมหายใจกรุงเทพฯ โดยใช้ข้อมูลคุณภาพอากาศและจุดความร้อน (Hotspot) แบบเรียลไทม์ พร้อม พยากรณ์สถานการณ์ฝุ่นล่วงหน้า 7 วัน ช่วยให้ประชาชนสามารถวางแผนดูแลสุขภาพได้
ยกระดับระบบเตือนภัย: ต้อง "มากกว่าแค่ส่งสัญญาณ"
ประเด็นสำคัญที่ถูกเน้นย้ำคือ ระบบเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพในยุคสมาร์ทซิตี้ จะต้องไม่ใช่แค่การส่งเสียงไซเรนหรือข้อความแจ้งเตือน แต่ต้อง มอบแนวทางปฏิบัติ (Actionable Insight) ที่ชัดเจนให้กับประชาชนด้วย
🚨 "ระบบเตือนภัยที่ดี ต้องบอกได้ว่าประชาชนควรทำอะไรต่อ" เช่น หากเตือนภัยน้ำท่วม ควรมีข้อมูลเส้นทางอพยพที่ปลอดภัย จุดพักพิงที่ใกล้ที่สุด หรือเบอร์ติดต่อฉุกเฉินในพื้นที่ ซึ่งจะสร้างความน่าเชื่อถือและทำให้การเตือนภัยเกิดประโยชน์สูงสุด
บทสรุปสำหรับชาวสมาร์ทซิตี้: การสร้างเมืองอัจฉริยะที่พร้อมรับมือกับภัยพิบัติและมีความปลอดภัยอย่างยั่งยืนนั้น จำเป็นต้องเริ่มต้นจากการทลายกำแพงข้อมูลระหว่างหน่วยงานต่างๆ และนำเทคโนโลยี GIS มาใช้เป็นเครื่องมือกลางในการวิเคราะห์และตัดสินใจร่วมกัน เพื่อเปลี่ยนจาก "การตั้งรับ" เป็น "การรู้ทัน" ภัยพิบัติในอนาคต